หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ย้ายบ้านพักศาลด้วยการกระดี่แบบวิธีโบราณ

การดีดบ้านย้ายบ้านโดยไม่ต้องรื้อ..
เห็นมีคนบอกว่าบ้านพักศาลที่กำลังมีปัญหา
หากรื้อไม่ได้ก็ให้เผามันซะเลย
คนที่พูดแบบนี้ แสดงว่าโง่
ไม่เคยเปิดตัวเองออกมาจากกระลาเลยล่ะมั้ง

เคยเห็นหรือเปล่า เวลาเขาย้ายโบสถ์
ย้ายศาลาวัด เพราะน้ำท่วม
หรือเพื่อปรับภูมิทัศน์ใดๆนั้น
เขาใช้วิธีกระดี่บ้าน หรือสมัยนี้เรียกว่าดีดบ้าน
เขาใช้วิธีแบบโบราณๆ
ย้ายโบสถ์เป็นหลังๆ
ไม่มีแตกไม่มีหัก ไม่มีร้าว
ไม่เชื่อลองติดต่อค้นหาข้อมูลดูดีๆ
ผมว่าแค่บ้านพักศาล
หากจะย้ายลงมาให้อยู่ในที่อันควร
ก็สามารถย้ายมาได้ทั้งหลัง
ไม่ต้องรื้อหรือทุบทิ้งแต่อย่างใด
ติดตามข่าวสารแล้วควรใช้สติด้วย





อย่าให้เขาจูงจมูกจนเหมือนควาย นะออเจ้า..

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

คนกล่อมโลก

"..กล่อมโลก เดียวดาย
.ให้หาย วัง เวง
.ชะโลม เสียงเพลง
.ไปบน โลก กลอน
.เพลง เอ๋ย จง แทรกซ้อน
.สู่ พฤกษ์ พง ดง ดอน
.กล่อมสิงขร ทั่ว ขุนเขา.."
เพลงนั้นจบไปแล้ว
และจะไม่มีใครร้องที่นี่อีก
เธอซ่อนน้ำตาไว้ใต้ผ้าคลุมสีดำขลับ
สิ้นเสียงปืน
เธอวิ่งออกมาดู
แต่นึกได้ว่าลืมผ้าคลุมศรีษะ
จึงย้อนขึ้นเรือน
ไปคว้ามาคลุมแบบลวกๆ
สิ่งที่เห็นคือร่างคนนอนแน่นิ่ง
บนหลังคา อันไม่อยากเรียกว่าอะไรทั้งสิ้น
พร่งนี้เช้าหรือเย็นนี้
คงมีข่าวทุกช่อง
ว่าทหารมาช่วยทาสี
แล้วโดนยิงคาหลังคา..
เธอเม้มปาก หันหลังกลับ
ผ้าคลุมหน้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา..
."เพลงรัก กล่อมโลก ทั่วไป
.แต่ยาม ผม ทุกข์ใจ
.ต้องแอบ ร้องไห้ หลัง เว ที"
เขาชอบร้องเพลงนี้เบาๆ
และเธอชอบฟัง
อ้อ ต้องบอกว่าแอบชอบฟังสิ
เพราะที่นี่ห้ามร้องเพลง
เขาคงร้อง ตอนทาสีมั้ง
แล้วคมีคนได้ยิน
เหตุผลแค่นี้เหรอที่ฆ่าเขา
แค่ร้องเพลงเนี่ยะนะ
หล่อนร้องไห้
คนไปดูศพกันหมดแล้ว
เดี๋ยวคงมีเจ้าหน้าที่มาปิดล้อมตรวจค้น
หมู่บ้านเธอ คงมีชื่อเสียงในเรื่อง
ของความโหดร้ายทารุณ
เธอคุกเข่า อาบน้ำตาลงฝ่ามือ..//

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

แม่หญิงปานวาด

แม่หญิงการเกด ย่องไปหาแม่ปานวาด
สอบถามว่า เข้าหอกับขุนเรืองแล้วเป็นเยี่ยงใดบ้างเล่า
แม่ปานวาดหาได้กล่าวตอบแต่อย่างใด
หากแต่เอื้อมมือไปหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาส่งให้
แลผินหน้าไปเสียทางชานเรือน
"ขนไก่..!!
แม่ปานวาดเอามาให้ข้าทำไมเล่า"
แม่การเกดมิรู้ความ
"ลองปั่นหูออเจ้าสิแม่การเกด"
แม่ปานวาดยังขวยอาย อ้อยอิ่ง
แม่การเกดจึงลองแหย่ขนเข้ารูไก่
เอ้ย ..แหย่ไก่เข้ารูขน เอ้ย แหย่ขนไก้ฃ่เข้ารูแม่ปานวาด
เอ้ยย แหย่ขนไก่ ของแม่ปานวาดเข้ารูหูตัวเอง
แล้วก็ทำหน้าเหยเก
ถึงตอนนี้ หน้าแม่ปานวาดแดงระเรื่อเจอสีชมพู
"อูยยยยย..."
แม่การะกด ข่มเสียงให้เบาลง
"สงสัยข้าว่า คนเดียวคงไม่พอ"


เอ้ย ข้างเดียวคงไม่พอ..

คนต้นน้ำ

น้ำเป็นเป็นของสูงและศักดิ์สิทธิ์
น้ำทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้

ท่านรู้หรือไม่ว่า
น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
คนอยู่สูงเรียกว่าคนต้นน้ำ
เมื่อคนต้นน้ำ
ไปเที่ยวกินละดื่ม
แลห้อยขาลงไปยังน้ำ
ท่านก็เหมือนเอาตีนแช่น้ำให้คน
กลางน้ำและท้ายน้ำได้ใช้สอย

ท่านเย็นเท้าระรื่นอุรา
น้ำมิได้คลายความเย็นลงเพราะตีนของท่าน
และน้ำไม่เคยขาดคุณสมัติของน้ำ
ในการชะล้างสิ่งสกปรก
แต่สิ่งที่ขาดคุณสมบัติ
ก็น่าจะเป็นพวกท่านั่นแหละ
ขาดจากความเป็นมนุษย์
ที่รู้จัก ผิด ชอบ ชั่วดี
พระเจ้าจึงไล่ออกจากสวนเอเดน
และสาปแช่ง ให้ไปหากิน อาบเหงื่นต่างน้ำ
ทำมากแต่ได้น้อย
จนต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ
แล้วพระเจ้าก็ให้
แมลงมากัดกินพืชผลของท่าน
ให้เกิดโรคระบาดในหมู่พวกท่าน
เพราะพวกท่าน นำความบาป อันไม่บังควร
มาสู่แผ่นดินที่มีน้ำผึ้ง และน้ำนมไหลบริบูรณ์



ที่มาของนักการเมือง

#นักการเมืองสมัยพ่อเรา..
เริ่มต้น
มาจากเป็นผู้ใหญ่บ้าน
แล้วไต่เต้ามาเป็นกำนัน
แล้วผันไปเป็นสจ.
แล้วจึงได้เป็นผู้สมัครสส.
บางคนสมัครหลายสมัยจนชาวบ้านเห็นใจ
ให้ลองเป็นดู ก็พากันเลือ
ช่วงนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ
บางคนสมัครสมัยเดียว สอบตก ก็หันหลังให้วงการ
ไม่ก็ลงไปเป็นสจ.ตามเดิม
คนเป็นสส.จึงผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ
รู้รสชาติของการสอบตก ว่า มันเจ็บปวดซ่ำได๋

จากจากสมัยนี้
ขอแค่มีเงินสร้างภาพ
ใช้เวลาเดินสร้างภาพไม่นานก็ได้เป็นสส.
ได้เป็น นายก
รองนายก รัฐมนตรี
ไม่รู้ว่าชาวบ้านมันโง่กว่าเก่า
หรือว่าเล่ห์เหลี่ยมนักการเมือง
มันเยอะกว่าเก่ากันแน่../
เฮ้อ...เพราะเรามันจน..//

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

ป่าแหว่ง สันดานโหว่

กำลังเป็นที่โจษขาน ถึงเหตุการณ์ ป่าแหว่ง
กับบ้านพักศาล ที่ใชเหมียง
ถามว่าทำไม มาทวงผืนป่ากันตรงนี้
ทำไมโยนโจทน์ให้ คสช.ว่าต้องรื้อเท่านั้น
โดยไม่สนใจว่า
สร้างและอนุมัติให้สร้างในสมัยไหน
สิ้นเสียงคำประท้วง
ก็ตามาด้วยหลักฐานว่า มิใช่มีแต่ตรงนั้น
ที่ป่าแหว่ง หากยิ่งขุดยิ่งเจอ
ดุจดั่งสิวสาว ที่ถูกทาทับด้วยแป้งที่มีตราอย.ปลอม

แล้วไฉน จึงโฟกัสแต่ตรงบ้านพักศาลเล่า
ตอบว่า เพราะที่นั่น
มีที่มาที่ไปที่เหมาะแก่การทำเป็นเชื้อปะทุนะสิ
หากไปชี้เป้าใส่ป่าแหว่งในดงข้าวโพด ของตาสีตาสา
แน่น่วลล ว่า คสช.จะสั่งตรวจสอบ ถึงขั้นยึดและติดคุก
ในทันที เพราะ คสช.รื้อ ร่มหน้าหาด จัดระเบียบ
สถานที่อันบ่งชี้ว่าผิดกฎหมายมานักต่อนัก
หากทะลึ่งแย่รังแตนไม่ดูตาม้าตาเรือ
อันสร้างผลกรรมให้กับผู้ทำผิดที่บริสุทธิเอาได้ง่ายๆ

ดังนี้ จะคิดว่า ตรงนี้แหระเหมาะ กว่าที่อื่น
ที่จะยื่นเข้าสู่ระบบมกวนน้ำให้ขุ่น
หวังตาปลาหน่าไซเอาง่ายๆ
งานนี้ ต้องเจาะข้อมูลกันดีๆลึกๆ
จะรู้ว่ามันมีเงี่ยนงำ..ซ่อนอยู่
ตื่นลึก ขนาดไหน
ยกส้นตีน เจอตาปลา
ขุดตาปลา แล้วได้อะไร
นอกจาแผลเหวอะหวะ..


งดใช้แรง

ถึงวันแรงงาน ผัวเมียหยุดงานอยู่บ้าน
ผัวออกตัวว่าห้ามใช้แรงงานใดๆทั้งสิ้น
เมียก็ไม่ว่าอะไร ตื่นมาอาบหน้ำแต่งตัว
ใส่ชุดนอนเบาโหวงเหว่ง
เดินไปเดินมาชะเวิบชะวาบ
ผัวเห็นท่าจะไม่ได้ความ
จึงชวนเมียถอนขนจั๊กกะแร้
"ไม่ได้ๆ วันนี้วันแรงงาน"
เมียบอก ด้วยเสียงเด็ดเดี่ยว
"ก็งานมันเร่ง ก็ทำโอที
บวกค่าแรงเพิ่มให้ก็ได้นี่นา"
ว่าแล้วก็ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มให้เมีย
เพราะปากอยู่ไม่สุข
ชอบเรียกร้องมากกว่าการให้..
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าปากพาจนว่ะ..//

ผีไร้ศาล.

เคยคุยกับผีที่มาขออาศัยอยู่ด้วย ซึ่งนับวันยิ่งเยอะ
ว่าเหตุใด ออเจ้าจึงชอบมาอยู่ที่นี่
กันเยอะแยะเยี่ยงนี้
บรรดาผีๆ บอกว่า ที่นี่ดี
ไม่มักมาก ไม่ฟุ้งเฟ้อ และไม่ฉวยโอกาส
หากเป็นที่อื่น เวลาผีไปอยู่ด้วย
อย่างแรกเลยมักจักขอหวย และต่อไปก็ให้ไปดลใจคน ให้ไปเข้าฝันคน แล้วก็ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษบ้าง อาจารย์บ้าง ซึ่งหากผีตนใด ไปเจอคนแบบนั้น ถือว่าตกนรกทั้งเป็น ต้องไปเที่ยวหลอกลวงคนอื่น เพื่อมาสนองกิเลสตัณหาเจ้านายของตน
แต่มาอยู่ที่นี่ สบายใจ  เรา ซึ่งเป็นคนเลี้ยง
ก็อยู่แบบกันเอง แบบพี่ๆน้องๆ
กินกันอดๆอยากก็ช่างมัน
ครั้นถามว่า ทำไม ไม่บอกหวยเรามั่ง
เขาอกว่า ผีไม่มีอำนาจมากพอที่จะไปบังคับหวย
ให้ออกเลขอะไรได้ มีแต่คนเท่านั้นที่บังคับได้
ดังนั้น อย่าไปเชื่อใคร ว่าเลี้ยงผี
มีกุมาร แล้วใบ้หวยแม่น
ถ้าใบ้ถือว่าไม่แม่น ถ้าแม่นจริงไม่ต้องใบ้
บอกตรงไปเลย (หัวเราะ)
อ้อ ..คราวนี้ตาสว่างเลย ว่าทำไม ผีชอบมาอยู่กับเรา
แล้วมันสิงเราป่าววะ มิน่าถึงได้หิวบ่อย..
กลางคืนไม่หลับไม่นอน กลางวันนอนยังกะเมาเห็ด
ผีมันสิงนี่เอง....อ่ะอ่ะ ...เพราะเรามันจน..
มีคนถามว่าเมื่อไรจะเขียนเรื่อง
สามจังหวัดชายแดนใต้อีก
ชอบอ่าน อะไรๆในอีกมุมหมองหนึ่ง
ต้องขอบอกว่า บางอย่างต้องใช้เวลานานพอสมควรครับ

เมาคาลูกหมาปี่..

"เราต้องประท้วง เราต้องลุกขึ้นต่อสู้กับมนุษย์"
เสียงโหวกเหวก ดั่งนั่นป่า
มาจากเสียงของสัตว์เกือบหมื่นชีวิต
ที่มารวมตัวกัน
ประท้วงเรียกร้อง ให้เอาป่ามามาคืน
นับวันมนุษย์กำลังรุกล้ำอธิปไตย์
ของสัตว์มากขึ้น
จนพวกมันแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่

"ไล่บ้านศาลพระภูมิแล้ว
อย่าลืม ไล่คสช.ด้วย"
เหี้ยตัวหนึ่งตะโกนขึ้น
"ใช่แล้ว ๆ เราไม่เอาเผด็จการทหาร"
ไก่ป่าผสมโรง
ช้างป่าจึงอาสานำทัพ..
มันคิดแค่ว่า
เอาเหตการณ์นี้บังหน้า
แล้วบุกเข้าไปกินกล้วยน้ำหว้าของชาวบ้านดีกว่า
"อ๊าาาาาาากกก"
ช้างลงไปชักดิ้นชักงอตายต่อหน้าต่อตา
สัตว์ป่าอื่นๆพากันตกใจ
มันเพ่งดูลวดที่ขึงยาว มีไฟแลปแป๊บๆ
แล้วอุทานว่า..
"กับดัก"..!!..//


วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

กระจ่างแล้ว เหตุใดชาวบ้านไม่คัดค้านบ้านพักศาลตั้งแต่แรก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รื้อศาลเก่า
กระจ่างเลย สาเหตุที่ชาวบ้านไม่คัดค้านการสร้างบ้านพักศาล
เพราะชาวบ้านคิดว่าจะสร้างบ้านพักศาลพระภูมิน่ะสิออเจ้า..
อ่ะอ่ะ เพราะเรามันจน
#น้ำพุ...
คนงานในไร่มันสัมปะหลัง
มาเล่าว่าไปพบเด็กกำพร้า
เฉลียวฉลาดทันคน พูดจาฉะฉาน
เสียดายมิได้เล่าเรียน
ด้วยฐานะยากจน
มาตแม้นคุณหญิงจำปาจะเมตตา
รับเลี้ยงแลอุปถัมป์ค้ำจุน
คงเป็นบุญของเด็ก
กล่าวกันเยี่ยงนี้หลายๆปาก
มากความเข้า คุณหญิงจึงขอพบเด็กคนนี้
ตัวดำ เนื้อตัวมอมแมม ตาใสบ๊องแบ๊ว
พูดจาฉะฉานดั่งว่า
จะเลี่ยงงเองก็สุดปัญญา
จึงไปเจรจากับพระคุณหลวงพ่อที่วัด
ท่านก็จับยามสามตาดูแลพยักหน้า
เด็กก็ถูกพามาอยู่ที่วัด
คราวนั้นเศรษฐีมากมาทรัยย์
อยากได้ลูกบุญธรรมไปเลี้ยง
ด้วยว่าไปดูหมอมาแล้ว
หมอทักว่าลูกชายเป็นคนน้อยวาสนา
จักได้ดีแต่ว่าต้องมีคนมาคอยรับเคราะห์แทน
จึงวางอุบายว่าจะไปขอเด็กมาเลี้ยง
ให้เป็นเกลอกันกับลูกชายตนเอง
เด็กน้อยจากป่ามัน
มาอยู่วันได้สามวัน
ก็ได้ไปอยู่หฤหาสมโหฬาร
เขานั่งหงอๆ มิกล้าพูดจากับผู้ใด
ด้วยรู้ตัวว่าต่ำต้อยยิ่งนัก
พี่สาวสองคนก็ถูกยกให้เศรษที่ที่บางกอก
เพราะพ่อตาย แลแม่ก็พิการ
ใยต้องเลี้ยงลูกอีก
เลยจำยอมจากแม่มา
เรียนและเล่นอยู่กับลูกๆท่านเศรษฐี
ประดุจลูกกลานได้สักปีนึง
ก็เกิดเหตุ คุณทวดท่านเสียชีวิต
ท่านเศรษฐี มีดำหริให้ หลานๆบวชเณร
อันรวมเอาไอ้ดำเด็กลาวเข้าไปด้วย
ตอนบวชกันนี่สนุกสนาน
ครั้นกลางคืน เผาศพเสร็จ
มีแต่คนร้องให้ขอสึกจากเณร
มิมีผู้ใด จักขออยู่กเก็บอัฐถิของผู้ชาย
ท่านเศรษฐีจึงว่า
เณรดำ อย่ารีบสึก รอเก็บกระดูกก่อน
เขาก็อยู่ต่อ ครั้นเก็บกระดูแล้ว
เศรษฐีก็ว่ารอทำบุญ 7 วันก่อนค่อยสึก
แล้วก็มาบอกว่า
รอทำบุญ 100 วันก่อนค่อยสึก
เณรดำก็อยู่เยี่ยงนั้น
เจ้าอาวาสนก็สอนวิปัสนาให้แก่เณร
ท่านว่า ต่อแต่นี้ ออเจ้าจงชื่อ"น้ำพุ"เถิดหนา
ด้วยบุญญาของเจ้า เหมือนน้ำพุ
พุ่งขึ้นสูงสุด แล้วก็ตกลงสู่ดิน"
ที่ว่านี้ ท่านเห็น น้ำพุ นี่ อุตส่าหนีจากดินมาอยู่วัด
ได้ออกจากวัดไปอยู่คฤหาสใหญ่โต
แต่ยังกลับมาสู่วัดอีก
เรื่องนี้ท่านทราบว่า
เศรษฐีหา่ได้รังเกียจเด็กน้อยน้ำพุ
แต่อย่างใดไม่
หากแต่ว่าท่านอยากให้บวชเรียนเพื่อ
สร้างกุศลแลบารมีให้ลูกชายของท่าน
ซึ่งท่านคาดหวังว่าจะได้เป็นทหาร
ยศใหญ่โต ในภายภาคหน้า
ท่านมีเมียสองคน คนพี่และคนน้อง
มีลูกสาวและลูกชาย
หากแต่ลูกชายคนหนึ่งนั้นเป็นใบ้
จึงหมดหวังไปแล้ว
จึงต้องไปขอน้ำพุ มาเป็นลูกคนกลาง
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน และ หมวก
คุณหญิงจำปากอดลูกน้อยสะอื้นไห้
พากันก้มกราบหน้าที่นั่งของหญิงสูงศักดิ์
ด้วยสำนึกในบุญคุณเป็นล้นพ้น
ที่จู่เธอคนที่อยู่เบื้องหน้า
ก็ยื่นมามาช่วยในคราวที่ขับขัน จนถึงขั้นจนตรอก
"มิต้องกราบต้องไหว้ฉันดอกจ่ะ แม่จำปา
ฉันเห็นชีวิตเธอแล้วเวทนายิ่งนัก
ยิ่งฟังจากปากหมอยิ่งเวทนา
และคิดว่าต้องรีบมาให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เด็กๆสองคนนี่ฉันอาสาส่งเสียเลี้ยงดูเอง
ส่วนตัวเธอฉันก็จะเลี้ยงดูไปจนแก่เฒ่า
แต่..มีข้อแม้ว่า
วันใด้ที่ลูกเธอเรียนจบ มีงานทำมีเงินเดือนกิน
เธอกับลูกๆก็ต้องช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก
ต่อไปอีกเป็นทอดกันไป ให้เหมือนดั่งว่ามันคือมรดก
เยี่ยงนี้เธอจะทำได้หรือไม่ฉันเองไม่กำหนดให้ดอกหนา
ถ้าเธอมีบุญ มีดวงตาเห็นธรรม
ว่าเธอเองเคยทุกข์ยากมาเยี่ยงใด
แล้วจำคำฉันไว้มั่น ยึดถือสัจจะนี้ไว้ไม่คลอนแคลน
ชีวิตเธอและครอบครัว ก็จักสมบูรณ์พูลผล
ไม่อยากไม่จนหรอกหนา "
คุณหญิงจำปา พนมมือรับคำ
แลหันไปบอกทั้งบุตรและธิดาให้รับคำ
คุณยายคนสวย
งานศพของสมพร จัดอย่างเรียบง่ายดุจศพไร้ญาติ
มีเพียงแม่ของเขาเท่านั้นที่มางาน
ด้วยรังเกียจว่าสมพรเป็นชายชู้
ที่เข้าหาจำปา จนสามีต้องหนีไปมีเมียใหม่
นี่คือเรื่องที่ชาวบ้านเข้าใจ
คงมีแต่จำปา กับลูกๆ สมพร และแม่เท่านั้น ที่เชื่อว่า
ทั้งสองอยู่ด้วยกันมา 25 ปี
โดยไม่มีอะไรเกินเลยต่อกันเลย
"ฉันจะกลับบ้านไปซักผ้า กวาดบ้านสักหน่อย
มีอะไรจะสั่งฉันไหม"
จำปาหันไปพูดกับสมพร ที่นอนอยู่บนเตียง
หมอหมดหวัง ด้วยมะเร็งตับลุกลามไปมากแล้ว
"ถึงแกจะไม่เคยรักฉันเลย ฉันขอแค่แกจำฉันได้ก็พอ"
จำปาพยักหน้า นึกอยากจะจับมือคนใกล้ตาย
เผื่อว่า เขาจะได้จากไปอย่างสงบ
แต่ มาคิดๆดู จะจับทำไม
ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
ก็ละสายตาแลเดินจากไปเสีย
สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์
คุณหญิงจำปา จึงไม่รู้ว่า
หมอตามหาเธอกันจ้าระหวั่น
ขี่จักยานไปถึงโรงพยาบาล
จนเกือบจะห้าโมงเย็น
เห็นห้องพิเศษที่สมพรพักอยู่เปิดโล่ง
ก็คิดว่าหมอคงพาไปตรวจอะไรที่ไหน
ก็เดินเข้าไปเก็บโน่นเก็บนี่
แต่ ใจมันรู้สึกเย็นๆ แปลกๆ
จนพยาบาลมาเจอ แล้วค่อยปลอบใจว่า
คุณลุงเสียแล้ว..
จำปาเม้มริมฝีปาก
เจ้าหล่อนเกลียดผู้ชายคนนี้
ที่วิ่งเข้ามาคว้าเธอไว้
ในวันที่กรีดร้องจนสลบหมดสติ
ทำไมไม่เป็นสามีของหล่อน
ที่มีลูกด้วยกันถึงสองคน
เขาไม่หันมามองด้วยซ้ำ
เธอปาดน้ำตา ถามว่าศพสมพรอยู่ที่ไหน
แล้วหมอก็พาไป
"คนไข้ อยู่กับน้ำ กับฝนมากเกินไป
บอดบวม ติดเชื้อในปอดผสมกับตับที่แข็งงอยู่แล้ว"
หมอธิบายให้ฟัง
สมพรไม่ดฃกินเหล้า ไม่สูบบุหรี่
แต่เป็นไวรัสตับอักเสบ
กว่าจะรู้ตัวก็จนรุกลามไปมากแล้ว
จึงมิทันจะได้สู้กับโลก
เขาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศภมิตรสุพรรณบุรี
ปีไหน จำปาจำไม่ได้แน่ชัด
คร่าวๆว่าอายุเขาน่าจะ 54-55 ปี
"เมื่อคืนเธอกลับบ้านยังไง
ป้าขอโทษนะที่ละลาบละล้วง"
คุณหญิงจำปา ถามความเอากับดีเจ ร่อนเร่ รุ่งริ่ง
"ขับมอไซด์กลับครับป้า"
"แล้วไม่เปียกเหรอ "
"เปียกสิครับถึงบ้านสั่นเป็นลูกนกตกน้ำอ่ะอ่ะ"
เขายังมีหน้าหัวเราะ ชะบานั่งฟังอยู่ด้วย
แม่เปิดลำโพงให้ได้ยิน
นี่คือเสียงลุงสมพรชัดๆ เธออุทานในใจ
นี่โลกนี้ มันมีชาตินี้ ชาติหน้า
และชาติที่แล้วจริงๆเหรอ
แล้วเขามาได้ยังไง เขาเป็นใคร
ทำไม บังเอิญมาจัดรายการวิทยุ
แล้วเปิดเผยเรื่องราวที่ตัวเองป่วย
จนคุณหญิงจำปา มาได้ยินได้ฟัง..
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สถานที่กลางแจ้ง และ น้ำ
คุณหญิงจำปากลับจากโรงพยาบาล
ด้วยดวงใจที่บอกไม่ถูก มือไม้สั่น
ใจสั่่น อาการดั่งว่าจะเป็นลม
ชะบาต้องประคองแม่ขึ้นรถ
แล้วพาขับค่อยๆไปอ้อมเมืองเข้าทางไผ่่ขวาง...
ดูเพิ่มเติม